เวลาจะตั้งชื่อเพจหรือแบรนด์ เคยลังเลไหมว่า
จะใช้ชื่อเล่นที่คนคุ้นเคย? หรือชื่อจริงที่ดูเป็นทางการ?

บางคนใช้ชื่อแบบเพื่อนเรียก → ดูเป็นกันเอง
บางคนใช้ชื่อแบรนด์เต็มรูปแบบ → ดูโปรและน่าเชื่อถือ

คำถามคือ... แบบไหนดีกว่าในแง่ของการตลาดและการค้นหา?
บทความนี้มีคำตอบ พร้อมข้อดี-ข้อเสียของทั้งสองแนว และแนวทางการประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ


✅ ชื่อเล่น (Friendly/Personal Name)

✔️ ข้อดี:

  • เป็นกันเอง เข้าถึงง่าย

  • คนรู้จักเร็ว เพราะเหมือนคุยกับคนจริง

  • เหมาะกับคอนเทนต์สายรีวิว, influencer, ไลฟ์สด

❌ ข้อเสีย:

  • ถ้าแบรนด์เติบโตมาก → อาจดูไม่โปร

  • ยากต่อการขยายทีม (เพราะผูกกับ “ตัวบุคคล”)

  • หาค้นเจอยาก หากไม่มี keyword ในชื่อ

📌 ตัวอย่าง:

  • @byMint

  • @NuiReview

  • @mook.daily


✅ ชื่อจริงแบรนด์ (Brand-Oriented Name)

✔️ ข้อดี:

  • ดูมืออาชีพ มีความน่าเชื่อถือ

  • เหมาะกับการทำ SEO และ Index

  • ขยายสเกลง่าย (ไม่ผูกกับบุคคล)

❌ ข้อเสีย:

  • ต้องใช้เวลาในการสร้างความผูกพันกับลูกค้า

  • ถ้าไม่วาง position ชัด อาจจำยาก

  • อาจดูห่างเหินถ้าใช้กับสายไลฟ์หรือ influencer

📌 ตัวอย่าง:


💡 แล้วควรเลือกแบบไหน?

ขึ้นอยู่กับว่า...

🔹 คุณคือใคร:

  • ถ้าเป็น Creator, รีวิว, ขายเอง → ชื่อเล่น = เข้าถึงง่าย

  • ถ้าอยากสร้างทีม, ขยายช่องทาง, วางขายหลายที่ → ชื่อแบรนด์จริง = ต่อยอดง่าย

🔹 คุณขายอะไร:

  • สินค้า handmade, lifestyle, รีวิว → ชื่อเล่นอาจเวิร์กกว่า

  • สินค้าดูแลผิว, แฟชั่น, สุขภาพ, official → แนะนำชื่อแบรนด์ที่ดูโปร


🧠 ทางสายกลางก็มี: ชื่อผสม

ลองใช้แนว “ชื่อเล่น + keyword” หรือ “ชื่อเล่น + category”

เช่น @byJune.skincare, @mook.bakerybkk, @nui.reviewcream

ข้อดีคือ:

  • คนยังรู้สึกว่าเข้าถึงได้

  • แต่มี keyword ให้ค้นหาเจอได้ง่าย

  • เป็น SEO-friendly และแบรนด์ก็ดูมีจุดยืน


📌 สรุป

ชื่อเล่น = เหมาะกับการสร้าง connection
ชื่อแบรนด์ = เหมาะกับการวางระบบธุรกิจและโตอย่างยั่งยืน

ถ้าคุณเพิ่งเริ่มและอยากให้คนจำ → ชื่อเล่นก็ใช้ได้
แต่ถ้าคิดการณ์ไกล อยากต่อยอด → ชื่อแบรนด์คือทางเลือกที่มั่นคงกว่า

หรือจะเลือกผสมให้พอดีกับจุดแข็งของคุณ ก็ไม่มีสูตรตายตัว
แค่เข้าใจ “กลยุทธ์” ชื่อก็กลายเป็นเครื่องมือทำการตลาดได้แบบเนียน ๆ ✨

บทความที่เกี่ยวข้อง